ปลาสวยงามถูกนำมาเลี้ยงในพื้นที่จำกัด
โดยไม่คำนึงถึงความสมดุลย์ของระบบนิเวศน์
แต่เน้นเพื่อให้มองดูสวยงามมีน้ำใสอยู่เสมอ
ทั้งที่คุณสมบัติด้านต่างๆอาจแตกต่างไปจากน้ำธรรมชาติอย่างมากมาย
จนทำให้ปลาอ่อนแอแคระแกรนหรืออาจถึงตายได้
แต่น้ำก็ยังคงดูเหมือนใสสะอาด
ผู้เลี้ยงปลาสวยงามจึงควรให้ความสนใจดูแลและปรับเปลี่ยนน้ำให้แก่ปลาอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้ปลาที่เลี้ยงได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
1
ความสำคัญของน้ำต่อการดำรงชีพของปลา
1.1
เป็นแหล่งออกซิเจนที่ปลาต้องใช้หายใจ
ออกซิเจนที่ปลาจะนำไปใช้หายใจได้นั้นจะต้องละลายลงไปในน้ำ
สภาพน้ำที่ดีมีการเจือปนของสิ่งต่างๆน้อยจึงจะมีการละลายของ
ออกซิเจนได้ดี
หรือมีปริมาณของออกซิเจนอยู่สูง
จะทำให้ปลาสดชื่นมีสุขภาพดี
1.2
มีผลต่อการเจริญเติบโต
น้ำที่มีคุณภาพเหมาะสมจะทำให้ปลามีการเจริญเติบโตได้ดี
สภาพน้ำที่มีการหมักหมมของเศษอาหาร
และของเสียจากการขับถ่ายของปลามากเกินไป
จะทำให้ปลาแคระแกรน
เติบโตช้า
ถึงแม้ปลาจะยังมีการกินอาหารดีอยู่ก็ตาม
1.3
มีผลต่อการกินอาหารของปลา
หากสภาพของน้ำมีความไม่เหมาะสมมากขึ้น
ปลาจะกินอาหารน้อยลง
การว่ายน้ำค่อนข้างเชื่องช้า
อ่อนแอและเกิดโรคได้ง่าย
1.4
มีผลต่อสีสันของปลา
น้ำที่มีคุณภาพไม่เหมาะสมจะมีผลทำให้ปลามีสีซีดจางกว่าที่เคยเป็นอยู่
2
ประเภทของน้ำที่ใช้เลี้ยงปลาสวยงาม
น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาสวยงามมาจากหลายแหล่งด้วยกัน
การเลือกใช้จะขึ้นกับความสะดวก
ปริมาณ
วัตถุประสงค์ของการเลี้ยง
กับความเหมาะสมในการจัดหา
ได้แก่
2.1
น้ำประปา
เป็นน้ำที่ผู้เลี้ยงปลาสวยงามส่วนใหญ่ใช้เลี้ยงปลากันมากที่สุด
โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้เลี้ยงที่อยู่ตามอาคารบ้านเรือน
ทำให้สามารถจัดหาได้ง่าย
และประการที่สำคัญคือ
น้ำประปาจัดว่าเป็นน้ำที่มีความเหมาะสมสำหรับเลี้ยงปลาสวยงามได้เป็นอย่างดี
เพราะจากขบวนการของการผลิตน้ำประปา
ได้เน้นที่มีความใสสะอาดเพื่อการอุปโภค
และบริโภคของมนุษย์
จึงต้องนำเอาน้ำที่มีคุณภาพดีมาผลิต
รวมทั้งต้องมีการฆ่าเชื้อโรค
จึงทำให้น้ำประปามีความปลอดภัยจากเรื่องโรคพยาธิที่จะมากับน้ำได้
นอกจากนั้นน้ำประปาส่วนใหญ่ยังมีการใช้ปูนขาวช่วยปรับสภาพความเป็นกรดด่างของน้ำ
ทำให้น้ำมีความกระด้างและมีความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของปลา
สรุปได้ว่าข้อดีของน้ำประปาในการเลี้ยงปลาสวยงาม
คือ ใส
ปราศจากโรคพยาธิ
และมีคุณสมบัติเหมาะสม
แต่น้ำประปาก็มีปัญหาบางประการในการใช้
คือ น้ำประปาที่พึ่งเปิดออกจากท่อประปามาใหม่ๆนั้น
จะมีปัญหาที่สำคัญ
3 ประการ คือ
2.1.1
ปริมาณของคลอรีน
ซึ่งใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในขบวนการผลิต
จะยังคงเหลือตกค้างอยู่ในน้ำ
ซึ่งมักจะมีความเข้มข้นอยู่ประมาณ
0.5 - 2.0
มิลลิกรัมต่อลิตร(ppm)
หากปล่อยปลาลงเลี้ยงทันที
หรือเปิดใส่ให้ปลาทันทีทันใด
ปริมาณของคลอรีนที่มีอยู่ในน้ำจะมีผลทำให้ปลาตาย
ซึ่งเป็นปัญหาที่พบกันอยู่เสมอ
ดังนั้นหากต้องการนำน้ำประปาไปใช้เลี้ยงปลาสวยงาม
จะต้องทำการกำจัดคลอรีนที่ตกค้างออกก่อน
ดังนี้
(1)
รองน้ำประปาใส่ภาชนะทิ้งไว้
ควรเป็นภาชนะปากกว้าง
เช่น
โอ่งน้ำ
หรือถัง ไฟเบอร์
ปล่อยไว้ประมาณ
2 - 3 วัน ถ้าสามารถตั้งให้รับแสงแดดจะใช้เวลา
1 - 2 วัน คลอรีนจะระเหยออกจากน้ำหมดไปเอง
(2)
รองน้ำประปาใส่ภาชนะโดยทำให้น้ำกระจายตัวออกให้มากที่สุด
ซึ่งทำได้โดยการปล่อยน้ำผ่านฝักบัว
หรือใช้สายยางต่อจากปลายก๊อกแล้วบีบปลายสายยางให้น้ำกระจายออก
หรือใช้เศษท่อเอสล่อนสั้นๆเจาะรูหลายๆรูต่อปลายสายยางแทนฝักบัว
ปล่อยน้ำให้ตกเหนือปากภาชนะ
การที่พยายามทำให้น้ำกระจายตัว
จะช่วยไล่คลอรีนออกจากน้ำไปได้มากจากนั้นปล่อยน้ำไว้ประมาณ
24 ชั่วโมง
คลอรีนจะระเหยหมดไป
(3)
รองน้ำประปาใส่ภาชนะ
แล้วใช้เครื่องให้อากาศ
(Air
Pump)
ปั๊มอากาศผ่านหัวทรายเป็นฟอง
ซึ่งจะทำให้น้ำเกิดการหมุนเวียนตลอดเวลาด้วย
วิธีนี้จะใช้เวลาเพียง
4 - 6 ชั่วโมง
แล้วแต่ความแรงของเครื่องให้อากาศ
คลอรีนจะระเหยหมดไป
(4)
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำประปาอย่างเร่งด่วน
จะต้องใช้สารเคมีใส่ลงไปเพื่อทำปฏิกริยาเคมีทำให้คลอรีนที่ตกค้างอยู่หมดไป
สารเคมีที่จะใช้จะต้องไม่มีผลตกค้างหรือก่อผลข้างเคียงอย่างอื่นอีก
ซึ่งสารเคมีที่นิยมใช้ทำปฏิกริยากับคลอรีนในน้ำประปาในปัจจุบันได้แก่
สารโซเดียมไธโอซัลเฟต
(Na2S2O3
. 5H2O)
สารนี้มีลักษณะเป็นเกล็ดยาวและเป็นเหลี่ยมผลึกใส
เวลาใส่ลงในน้ำจะให้ความเย็น
เมื่อละลายลงในน้ำที่มีคลอรีนจะเกิดปฏิกริยากับคลอรีนทันที
ดังสมการต่อไปนี้
Cl2
+ 2 Na2S2O3
.5H2O
Na2S4O6
+ 2 NaCl
+
10 H2O
สารโซเดียมไธโอซัลเฟตสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องมือวิทยาศาสตร์
หรือร้านขายปลาสวยงาม
อัตราการใช้โดยทั่วไปจะใช้ปริมาณ1เกล็ด(เม็ด)
ต่อน้ำ
5
ลิตร
หรือตู้ปลาขนาด
18
นิ้ว จะใส่
6 เม็ด
และตู้ปลาขนาด
24
นิ้วจะใส่
10
เม็ด
2.1.2
การสะสมก๊าซภายในน้ำ
น้ำประปาที่ถูกส่งจากสำนักงานประปาไปตามท่อเพื่อส่งไปยังสถานที่ต่างๆนั้น
ในระหว่างที่น้ำไหลไปตามท่อจะเกิดแรงดันทำให้มีก๊าซต่างๆถูกสะสมอยู่ในน้ำเป็นจำนวนมาก
จะสังเกตได้ว่าเมื่อเปิดน้ำประปาใส่ภาชนะสักครู่จะมีฟองอากาศเกิดขึ้น
โดยเกิดเป็นฟองอากาศเม็ดเล็กๆเกาะอยู่ตามผนังภาชนะ
ถ้าเป็นตู้กระจกจะสังเกตได้ชัดเจนมาก
แรงดันของก๊าซที่สะสมในน้ำประปานี้จะมีผลต่อปลา
โดยจะไปทำให้กล้ามเนื้อของปลาเกิดการขยายตัว
กล้ามเนื้อส่วนใดที่อ่อนจะถูกดันให้เกิดการขยายตัวได้ง่าย
เช่นที่บริเวณท้องและบริเวณกล้ามเนื้อตาของปลา
จึงมักทำให้ปลาเสียการทรงตัวแล้วตาย
หรือทำให้ปลาตาปูดโปนออกมา
ทำให้ปลามีอาการอักเสบที่ตาแล้วปลามักจะตาบอด
วิธีการกำจัดก๊าซที่สะสมในน้ำทำได้ไม่ยากนัก
คือในขณะรองน้ำประปาใส่ภาชนะพยายามให้น้ำมีการกระจายตัวออกให้มากที่สุด
โดยการเปิดผ่านฝักบัวหรือบีบสายยางฉีดน้ำเหนือภาชนะตลอดเวลา
จากนั้นอาจใช้เครื่องให้อากาศปั๊มอากาศเป็นฟองหมุนเวียนอยู่ประมาณ
30 - 60
นาที
ก็จะกำจัดก๊าซต่างๆออกได้หมด
2.1.3
ความเป็นกรดของน้ำประปา
จากขบวนการผลิตน้ำประปาจะมีการใช้สารส้ม
เพื่อทำให้เกิดการจับตัวของตะกอนและสารแขวนลอยต่างๆ
จากนั้นจึงไปผ่านระบบกรองเพื่อทำให้น้ำใส
ผลของการใช้สารส้มจะทำให้น้ำมีคุณสมบัติเป็นกรด
ถึงแม้ในระบบการผลิตน้ำประปาจะมีการใช้ปูนขาวเพื่อปรับระดับความเป็นกรดให้มีค่าต่ำลง
จนอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมต่อผู้บริโภคและไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อปลา
แต่จากประสบการณ์ที่เคยใช้น้ำประปาเลี้ยงปลาสวยงามและเลี้ยงปลาทดลองต่างๆ
พบว่าน้ำประปาที่ผ่านการดำเนินการกำจัดคลอรีนและก๊าซต่างๆแล้ว
ในบางครั้งจะยังเกิดปัญหาทำให้ปลาตายได้
ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าน้ำยังมีสภาพความเป็นกรดเหลืออยู่
แสดงว่าการผลิตน้ำประปาในบางครั้งอาจใส่ปูนขาวไม่มากพอที่จะปรับความเป็นกรดให้อยู่ในระดับปกติได้
จำเป็นที่ผู้เลี้ยงปลาสวยงามจะต้องหาทางป้องกันไว้
โดยการเติมปูนขาว
หรือปูนแดง(ปูนที่ใช้กินหมาก)
ประมาณ 1 ใน 3
ช้อนชา
ต่อน้ำ 100
ลิตร ลงในถังพักน้ำ
2.2น้ำธรรมชาติ
เป็นน้ำจากแม่น้ำ
ลำคลอง หนอง
บึง
อ่างเก็บน้ำ
หรือจากระบบชลประทาน
ผู้เลี้ยงปลาสวยงามที่เน้นดำเนินกิจการเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาสวยงามเป็นหลักจำเป็นต้องใช
้เพราะส่วนใหญ่ในแต่ละวันต้องใช้น้ำในปริมาณที่มาก
เนื่องจากมีพื้นที่มาก
คือ
อาจมีทั้งบ่อซีเมนต์
และบ่อดิน
โดยทั่วไปน้ำประเภทนี้จะไม่ใส
แต่เป็นน้ำที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการดำรงชีพของปลา
ซึ่งปัญหาที่พบในการใช้น้ำธรรมชาติคือ
2.2.1
อาจมีโรคหรือพยาธิติดมากับน้ำ
โดยเฉพาะพวกพยาธิภายนอก
เช่น เห็บปลา
หนอนสมอ
ปลิงใส
และเห็บระฆัง
ซึ่งมักจะทำลายเนื้อเยื่อปลา
แล้วมีผลทำให้ปลาเกิดโรคระบาดติดตามมา
วิธีการแก้ไขทำได้โดยการใช้ระบบบ่อกรองน้ำ
โดยน้ำธรรมชาติที่จะนำเข้ามาใช้ควรนำไปผ่านบ่อกรองน้ำลักษณะซึมบ่อทราย
หรือระบบบ่อกรองน้ำ
ก็จะสามารถป้องกันพยาธิภายนอกไว้ได้
นอกจากนั้นในช่วงฤดูหนาวซึ่งมักเกิดโรคระบาดปลา
หรือในบริเวณนั้นมีฟาร์มสัตว์น้ำค่อนข้างมาก
ก็อาจมีการระบาดของโรคต่างๆมากับน้ำได้
ต้องทำการแก้ไขโดยใช้บ่อพักน้ำ
คือน้ำจากบ่อกรองจะยังไม่นำไปใช้โดยทันที
แต่ควรนำไปเก็บไว้ในบ่อพักน้ำประมาณ
5 - 7 วัน จะทำให้ตัวอ่อนของโรคต่างๆที่ติดมาตายไป
ก็จะนำไปใช้ได้อย่างปลอดภัย
2.2.2
น้ำขุ่น
ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีการชะล้างหน้าดินจากน้ำฝนลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
น้ำจะมีตะกอนขุ่นข้นจนไม่สามารถนำไปเลี้ยงปลาได้
วิธีการแก้ไขก็โดยการใช้บ่อกรองน้ำเช่นกัน
แต่จะต้องหมั่นทำความสะอาดวัสดุกรองบ่อยๆ
เพราะปริมาณตะกอนจะค่อนข้างมาก
2.2.3
ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ
ฟาร์มปลาสวยงามที่อยู่ในเขตชลประทาน
หรือใช้แหล่งน้ำขนาดเล็ก
มักประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง
โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูแล้งซึ่งเป็นช่วงเหมาะสำหรับการเพาะและอนุบาลลูกปลา
ควรที่จะต้องมีบ่อพักน้ำเพื่อสำรองน้ำเก็บไว้
2.3
น้ำบาดาล
เป็นน้ำใต้ดินที่ถูกนำขึ้นมาใช้
เหมาะสำหรับฟาร์มปลาสวยงามที่มีกิจการไม่มากนัก
หรือรังปลา(ร้านขายส่งปลา)
ซึ่งมักตั้งอยู่แถวชานกรุงเทพฯ
จะมีการใช้น้ำในปริมาณค่อนข้างมากในแต่ละวันเช่นกัน
ถึงแม้ว่าจะมีน้ำประปาส่งไปถึง
แต่การแก้ไขปัญหาในน้ำประปาที่จำเป็นต้องใช้เป็นปริมาณมากในแต่ละวันนั้นทำได้ยาก
จึงจำเป็นต้องนำน้ำบาดาลเข้ามาใช้
คุณสมบัติของน้ำบาดาลนั้นจะใสและสะอาดเช่นเดียวกับน้ำประปา
อีกทั้งยังไม่มีคลอรีนตกค้างอยู่ในน้ำ
แต่น้ำบาดาลก็มีปัญหาที่ต้องพิจารณาดังนี้
2.3.1
ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด
น้ำบาดาลจะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างมาก
และจะไม่มีออกซิเจนละลายอยู่เลย
หากนำไปใช้เลี้ยงปลาสวยงามทันทีจะทำให้ปลาตายได้
วิธีการแก้ไขคือใช้บ่อหรือถังพักน้ำขนาดไม่ใหญ่มากนัก
เมื่อสูบน้ำบาดาลขึ้นมาจะปล่อยลงถังพัก
โดยปล่อยน้ำให้มีการกระจายตัวมากที่สุด
ซึ่งวิธีที่นิยมใช้คือใช้ฝักบัว
และให้ฝักบัวอยู่สูงจากปากถังพักน้ำพอควร
ในระหว่างที่น้ำกระจายตัวออกจากฝักบัวก่อนตกลงที่ผิวน้ำในถังพัก
ก็จะรับออกซิเจนจากอากาศละลายเข้าไปในน้ำ
ในขณะเดียวกันจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ระเหยออกสู่อากาศ
น้ำบาดาลในถังพักจะสามารถปล่อยไปเลี้ยงปลาสวยงามได้ทันที
จึงไม่ต้องเสียเวลารอพักน้ำบาดาล
2.3.2
คุณสมบัติของน้ำบาดาล
ถึงแม้น้ำบาดาลโดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของปลา
แต่น้ำบาดาลในบางพื้นที่อาจมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม
ทำให้ปลาเจริญเติบโตช้าหรือไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
คุณสมบัติที่สำคัญของน้ำบาดาลที่พบว่าอาจก่อปัญหาให้แก่ปลา
ได้แก่
ความเป็นกรดด่าง(pH)
และความเค็ม
ดังนั้นก่อนดำเนินการเจาะและติดตั้งเครื่องเพื่อการใช้น้ำบาดาล
ควรมีการเจาะน้ำเพื่อตรวจสอบความเป็นกรดด่าง
และความเค็มของน้ำก่อน
เมื่อพบว่าไม่มีผลต่อปลาจึงค่อยดำเนินการถาวร
สำหรับการใช้น้ำบาดาลในปัจจุบันมักก่อให้เกิดปัญหาแผ่นดินทรุด
จึงมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้น้ำบาดาล
ผู้ที่จะดำเนินการเจาะบ่อน้ำบาดาลจะต้องขออนุญาตจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลก่อน
มิฉะนั้นจะมีความผิดทางกฎหมาย
2.4
น้ำฝน ในสมัยก่อนนิยมใช้น้ำฝนในการเลี้ยงปลาสวยงาม
เนื่องจากถือว่าเป็นน้ำที่มีคุณภาพดีมาก
มีความใสสะอาดจนสามารถบริโภคได้
แต่ในปัจจุบันมีปัญหามลพิษทางอากาศเนื่องจากความเจริญของบ้านเมือง
ก่อปัญหาการปนเปื้อนของสารพิษต่างๆในอากาศค่อนข้างมาก
ทำให้น้ำฝนจะมีการซึมซับสารพิษต่างๆไว้ในขณะที่ตกลงมา
มีผลทำให้น้ำฝนมีคุณสมบัติเป็นกรดค่อนข้างรุนแรง
การใช้น้ำฝนเลี้ยงปลาสวยงามในปัจจุบันจึงมักทำให้ปลาตาย
หรือมีสีสันซีดลง
ยกเว้นถ้ารองน้ำฝนในวันที่มีฝนตกหนัก
และรองภายหลังจากที่ฝนตกไปแล้วระยะหนึ่ง
จึงอาจนำน้ำฝนนั้นมาเลี้ยงปลาได้
แต่ถ้าหากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรเสี่ยงที่จะนำน้ำฝนมาใช้เลี้ยงปลา
.
3
คุณสมบัติของน้ำที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีพของปลา
คุณสมบัติของน้ำที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเจริญเติบโตของปลา
หรือการดำรงชีพของปลานั้น
จะมีทั้งคุณสมบัติทางด้านกายภาพ
(Physical
Condition)
ทางด้านเคมี
(Chemical
Condition)
และทางด้านชีววิทยา
(Biological
Condition)
ซึ่งมักจะมีความสัมพันธ์กัน
หากคุณสมบัติด้านใดด้านหนึ่งไม่เหมาะสม
ก็จะส่งผลกระทบไปถึงปลาได้ทันที
อาจทำให้ปลาแคระแกรน
อ่อนแอป่วยเป็นโรคได้ง่าย
หรือไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้
ดังนั้นผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังควบคุมคุณสมบัติของน้ำ
และพยายามปรับสภาพของน้ำให้เหมาะสมต่อการดำรงชีพของปลาอยู่เสมอ
3.1
คุณสมบัติของน้ำทางด้านกายภาพ
3.1.1
สีของน้ำ
สีของน้ำที่ปรากฎแก่สายตาจำแนกได้เป็น
2 ประเภท
คือ
-
สีจริง
(True
Color)
เป็นสีที่เกิดจากสารละลายต่างๆที่ละลายในน้ำ
ในระยะแรกอาจมองไม่เห็น
จนเมื่อมีการสะสมมากขึ้นจึงสังเกตได้
เช่นอาหารปลาบางชนิดจะมีการละลายทำให้น้ำออกเป็นสีเหลือง
สีจริงที่เกิดขึ้นจะไม่สามารถแยกออกจากน้ำโดยการกรอง
- สีปรากฎ (Apparent
Color)
เป็นสีที่สามารถมองเห็นได้ง่าย
ส่วนใหญ่เกิดจากตะกอนและสารแขวนลอย
รวมทั้งแพลงตอนต่างๆ
หรืออาจเกิดจากการสะท้อนแสง
การเลี้ยงปลาสวยงามนั้นน้ำที่มองเห็นในตู้เลี้ยงปลาสวยงามมักจะเป็นสีจริง
เนื่องจากการเลี้ยงปลาสวยงามเน้นที่ความใสของน้ำ
มีการใช้ระบบกรองน้ำที่ดีและได้รับแสงน้อยจึงไม่มีตะกอนและแพลงตอนเกิดขึ้น
สีของน้ำไม่มีผลต่อตัวปลาโดยตรงแต่จะช่วยบ่งบอกได้ถึงความผิดปกติหากความใสของน้ำมีการเปลี่ยนแปลงไป
3.1.2 อุณหภูมิ
อุณหภูมิของน้ำมีผลต่อการดำรงชีพของปลาค่อนข้างมาก
เพราะปลาเป็นสัตว์เลือดเย็น
อุณหภูมิของร่างกายปลาหรือขบวนการเผาผลาญอาหารภายในร่างกายจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิของน้ำ
ดังนั้นในช่วงที่มีอุณหภูมิต่ำหรือในฤดูหนาวขบวนการต่างๆในตัวปลาจะลดต่ำลงไปด้วย
ซึ่งเท่ากับเป็นการยับยั้งการเจริญเติบโต
การกินอาหาร
และการแพร่พันธุ์ของปลา
ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะอยู่ในเขตร้อนมีศักยภาพการเจริญเติบโตของปลาดีกว่าในแถบอื่นตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
แต่ก็มีช่วงฤดูหนาวซึ่งกินเวลาประมาณ
1 - 2 เดือน
ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นระยะเวลาที่มากพอที่จะก่อความเสียหายแก่ปลาที่เลี้ยงได้
ผู้เลี้ยงปลาจะต้องลดปริมาณอาหารที่เคยให้ลง
และคอยระวังเรื่องการเกิดโรคระบาด
เพราะจากการที่ปลากินอาหารลดลงทำให้สภาพร่างกายมีภูมิต้านทานลดลง
จะทำให้ปลาป่วยหรือติดเชื้อต่างๆได้ง่าย
จึงพบว่ามักจะเกิดปัญหาโรคระบาดสัตว์น้ำในฤดูหนาวอยู่เสมอ
สำหรับการเลี้ยงปลาสวยงามซึ่งพบปัญหาปลาเกิดโรคระบาดและปลาตายในฤดูหนาวอยู่เสมอ
แต่เนื่องจากเป็นการเลี้ยงที่ใช้พื้นที่ไม่มากนัก
จึงสามารถที่จะทำการควบคุมอุณหภูมิของน้ำในตู้เลี้ยงปลาได้
โดยใช้เครื่องควบคุมอุณหภูมิ
(Heater)
ก็สามารถควบคุมให้น้ำมีอุณหภูมิเหมาะสมสำหรับปลาได้
ซึ่งอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับปลาโดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง
27
- 32 องศาเซลเซียส
การควบคุมอุณหภูมิจะช่วยให้ปลากินอาหารได้ตามปกติ
ทำให้ปลาแข็งแรงสุขภาพดี
จึงเป็นวิธีการช่วยป้องกันการเกิดโรคระบาดได้อย่างดี
3.1.3 ความขุ่นของน้ำ
หมายถึงปริมาณสารแขวนลอยที่อยู่ในน้ำ
ความขุ่นของน้ำจะมีผลต่อการบดบังแสง
ทำให้ความสมบูรณ์ของบ่อปลาลดลงและยังมีผลอุดตันระบบหายใจ
มักทำให้ปลาขนาดเล็กและไข่ปลาตายได้
การเลี้ยงปลาสวยงามในตู้กระจกจะไม่พบปัญหาน้ำขุ่น
ยกเว้นพวกที่ดำเนินกิจการฟาร์มเลี้ยงปลาสวยงามและใช้น้ำธรรมชาติเป็นหลัก
โดยจะพบปัญหาน้ำขุ่นในช่วงฤดูฝน
หากไม่แก้ไขก็จะทำให้การเพาะและอนุบาลลูกปลาล้มเหลว
การแก้ไขจะสามารถทำได้โดยใช้ระบบบ่อกรองน้ำหรือบ่อพักน้ำขนาดใหญ่
นอกจากนั้นหากต้องการตกตะกอนน้ำเพื่อต้องการน้ำค่อนข้างใส
ก็อาจกระทำโดยใช้บ่อซีเมนต์ขนาดใหญ่มีความจุประมาณ
40
- 50 ลูกบาศก์เมตร
แล้วใช้สารส้มปริมาณ10ส่วนในล้านส่วน
(ppm)
หรือคิดเทียบเท่ากับ
100 กรัม (1ขีด) ต่อน้ำ
10 ลูกบาศก์เมตร
(น้ำ1ลูกบาศก์เมตรมีปริมาตรเท่ากับ
1,000
ลิตร หรือมีน้ำหนักเท่ากับ
1,000
กิโลกรัม) คำนวณหาปริมาตรน้ำในบ่อพักน้ำแล้วมาเทียบหาปริมาณสารส้มที่ต้องใช้
ตัวอย่าง
-
บ่อซีเมนต์สี่เหลี่ยม
มีขนาด
กว้าง 4
เมตร
ยาว 10
เมตร
ใส่น้ำได้ลึก
1 เมตร
บ่อจะมีปริมาตร
= กว้าง
X
ยาว X
ลึก
= 4
X 10
X 1
=
40 ลูกบาศก์เมตร
จะใช้สารส้ม
=
100 X
40/10
=
400 กรัม
.
-
บ่อซีเมนต์กลม
มีเส้นผ่าศูนย์กลาง
8 เมตร
ใส่น้ำได้ลึก
1 เมตร
บ่อจะมีปริมาตร
= ¶ x r
x r x h
= 22/7
X 4 X
4 X
1
= 50.3
ลูกบาศก์เมตร
จะใช้สารส้ม
= 100 X
50.3/10
= 503
กรัม
เมื่อชั่งสารส้มได้ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว
ควรนำมาทุบให้เป็นก้อนเล็กๆเพื่อให้ละลายน้ำได้ง่าย
ก่อนละลายน้ำควรใช้ผ้าห่อหรือใส่ในกระชอน
แล้วจึงนำไปละลายน้ำ
จะทำให้ละลายสารส้มได้หมด
จากนั้นใช้เครื่องสูบน้ำแบบจุ่ม(ปั๊มจุ่มหรือไดรโว่)ปั๊มน้ำในบ่อให้หมุนเวียนประมาณ
1 ชั่วโมง
จากนั้นทิ้งน้ำไว้
1 - 2 วัน น้ำจะตกตะกอนมีความใสเกือบเท่าน้ำประปา
นำไปใช้เลี้ยงปลาได้ดี
.
3.2
คุณสมบัติของน้ำทางด้านเคมี
3.2.1
ความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำ
มักนิยมเรียกว่า
“pH” หมายถึงค่าความเข้มข้นของไฮโดรเจนอิออน
(H+)ที่อยู่ในน้ำ
ค่า pH
ของน้ำจะอยู่ระหว่าง
0 - 14 โดยมีค่าเป็นกลางที่
pH 7 ที่อุณหภูมิ
25
องศาเซลเซียส
สำหรับน้ำธรรมชาติโดยทั่วไปจะมีค่า
pH
อยู่ระหว่าง
5 - 9
ตารางที่
1 แสดงระดับค่าของ
pH
ที่มีผลต่อการดำรงชีพของสัตว์น้ำจืด
ระดับค่าของ
pH
|
ผลต่อการดำรงชีพของสัตว์น้ำ
|
4.0
หรือต่ำกว่า
|
เป็นอันตรายมักทำให้ปลาตาย
|
4.1
- 6.0
|
ปลาบางชนิดตาย
|
|
ปลาที่ไม่ตาย
จะมีการเจริญเติบโตช้า
ผลผลิตต่ำ
|
|
ระบบสืบพันธุ์ไม่เจริญ
|
6.5
- 9.0
|
เหมาะสมต่อการดำรงชีพของสัตว์น้ำ
|
9.1
- 11.0
|
การเจริญเติบโตช้า
ผลผลิตต่ำ
|
11.1
ขึ้นไป
|
เป็นอันตรายต่อปลา
|
การเลี้ยงปลาสวยงามในตู้กระจกมักไม่มีปัญหาเรื่องความเป็นกรดของน้ำ
เนื่องจากมีการให้ออกซิเจนและมีการใช้เศษหินปะการังในระบบกรองน้ำ
แต่จะเกิดปัญหาเรื่องความเป็นด่าง
คือผู้เลี้ยงปลามักไม่ค่อยมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำ
ทำให้มีการสะสมแอมโมเนียจากการขับถ่ายและการย่อยสลายของเศษอาหารมากขึ้น
ประกอบกับน้ำมีการหมุนเวียนผ่านเศษปะการังตลอดเวลา
จึงทำให้น้ำมีความเป็นด่างสูงขึ้น
ถึงแม้จะไม่มีผลทำให้ปลาตาย
แต่ก็มักจะทำให้ปลามีสีสันซีดจางลง
วิธีการแก้ไขทำโดยการหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำ
3.2.2
ปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ
มักเรียกย่อๆว่า
DO
(Dissolved
Oxygen)
การหายใจของปลาส่วนใหญ่จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีออกซิเจนละลายอยู่ในน้ำ
ซึ่งในธรรมชาติการละลายของออกซิเจนเกิดได้
2 ทาง คือ
-
การละลายจากอากาศที่ผิวน้ำ
จะเกิดขึ้นมากน้อยขึ้นกับขนาดบ่อและความแรงของลม
คือลมจะทำให้น้ำเกิดคลื่น
และในระหว่างที่คลื่นน้ำเคลื่อนจากริมบ่อทางต้นลมไปถึงริมบ่อทางท้ายลม
ก็จะละลายเอาออกซิเจนจากอากาศไปเรื่อยๆ
ขนาดของบ่อจะมีความสำคัญมาก
คือถ้าบ่อขนาดใหญ่จะมีการเกิดคลื่นได้ง่าย
ถึงแม้ลมจะไม่แรง
สังเกตได้จากอ่างเก็บน้ำหรือทะเลจะมีคลื่นตลอดเวลา
และคลื่นเคลื่อนที่เป็นระยะทางไกล
บ่อขนาดใหญ่จึงไม่ค่อยพบปัญหาการขาดออกซิเจน
-
การสังเคราะห์แสงของแพลงตอนพืชและพืชน้ำ
ในเวลากลางวันแพลงตอนพืชและพืชน้ำจะเกิดขบวนการสังเคราะห์แสง
ดึงเอาธาตุอาหารที่ละลายอยู่ในน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้
จากนั้นจะให้ก๊าซออกซิเจนออกมา
จัดว่าเป็นการช่วยรักษาสมดุลย์ในระบบนิเวศน์ได้ด้วย
แต่วิธีนี้อาจเกิดปัญหาเพราะในเวลากลางคืนทั้งแพลงตอนพืชและพืชน้ำไม่สามารถสังเคราะห์แสง
และจำเป็นต้องการใช้ออกซิเจนเช่นกัน
ดังนั้นหากมีแพลงตอนพืชหรือพืชน้ำมากเกินไป
ก็จะทำให้เกิดการขาดแคลนออกซิเจนในเวลากลางคืนได้
ซึ่งมักพบว่าปลามีการ
“ลอยหัว”
คืออาการที่ปลาลอยตัวอยู่ใกล้ผิวน้ำและอ้าปากฮุบอากาศที่ผิวน้ำเกือบตลอดเวลา
โดยมักเกิดตอนใกล้รุ่ง
สำหรับการเลี้ยงปลาสวยงามเป็นการเลี้ยงปลาในพื้นที่จำกัดเล็กๆ
น้ำใสสะอาด
ไม่มีแพลงตอน
และมักไม่ปลูกพรรณไม้น้ำ
การละลายของออกซิเจนที่ผิวน้ำแทบจะไม่สามารถเกิดได้เลย
ดังนั้นเมื่อปล่อยปลาลงเลี้ยงในตู้ปลาประมาณ
1 - 2 ชั่วโมง
ปลาจะใช้ออกซิเจนหมดไปโดยไม่มีการละลายของ
ออกซิเจนเพิ่มเติม
ทำให้ปลาลอยหัวและอาจถึงตายได้
ดังนั้นเครื่องเพิ่มปริมาณการละลายของออกซิเจนหรือ
“แอร์ปั๊ม”
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเลี้ยงปลาสวยงาม
ผู้เลี้ยงปลาแทบทุกรายจึงต้องซื้อแอร์ปั๊มไปใช้เพิ่มออกซิเจนในตู้เลี้ยงปลา
มิฉะนั้นปลาที่เลี้ยงจะไม่ค่อยกินอาหาร
ทำให้แคระแกรน
สีซีดจาง
อ่อนแอติดโรคได้ง่าย
หรืออาจขาดออกซิเจนจนถึงตายได้
ยกเว้นปลาบางชนิดจะมีอวัยวะช่วยหายใจ
ทำให้สามารถใช้ออกซิเจนจากอากาศได้
โดยในขณะที่น้ำมีออกซิเจนน้อยปลาจะขึ้นฮุบอากาศที่ผิวน้ำ
แล้วนำออกซิเจนจากอากาศไปใช้ในการหายใจได้
จึงทำให้ปลาเหล่านี้มีความสามารถอยู่ในน้ำเสีย
หรือหมกตัวอยู่ในโคลนตมได้ดีกว่าปลาชนิดอื่น
ตัวอย่างเช่น
ปลาหางนกยูง
ปลากัด
ปลากระดี่ชนิดต่างๆ
ปลาหมอตาล
ปลาชะโด
ปลาดุก
และปลาแรด
แต่ถึงแม้ปลาเหล่านี้จะทนทาน
ถ้านำมาเลี้ยงในตู้ปลาก็ยังจำเป็นต้องใช้เครื่องแอร์ปั๊มเพิ่มออกซิเจน
เพราะการที่น้ำมีออกซิเจนสูงจะทำให้ปลาสดชื่น
กินอาหารเก่ง
เติบโตเร็ว
สีสันสดใส
และเจริญพันธุ์ได้ดี
3.2.3
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
เป็นก๊าซที่ปลาไม่ต้องการ
เมื่อมีมากจะแทรกซึมเข้ากระแสเลือดทำให้ปลาตาย
ในธรรมชาติการเกิดของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
จะมาจากการหายใจของพืชและสัตว์
และการสลายของอินทรียสาร
แต่ในเวลากลางวันแพลงตอนพืชและพรรณไม้น้ำจะนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ในการสังเคราะห์แสง
ส่วนในเวลากลางคืนจะมีการสะสมคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น
ในบ่อขนาดใหญ่ซึ่งมีการเกิดคลื่นที่ผิวน้ำอยู่เสมอ
ก็จะมีการละลายของออกซิเจนทำให้ปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ไม่สูงมากนัก
เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ระเหยออกจากน้ำสู่อากาศได้ง่าย
เนื่องจากอากาศมีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่น้อยมาก
แต่บ่อขนาดเล็กมีการละลายของออกซิเจนค่อนข้างน้อย
จึงมีการสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเรื่อยๆ
การเลี้ยงปลาสวยงามในตู้ปลาก็จะมีคาร์บอนไดออกไซด์
เกิดขึ้นจากการหายใจและการหมักหมมของเศษอาหาร
แต่ไม่มีปัญหาเพราะระเหยออกสู่อากาศเนื่องจากการใช้แอร์ปั๊ม
และในระบบกรองน้ำยังช่วยควบคุมคาร์บอนไดออกไซด์โดยจะไปทำปฏิกริยากัเศษปะการัง
เกิดเป็นสารประกอบไบคาร์บอเนต
(HCO3-)ละลายอยู่ในน้ำ
โดยไม่เป็นพิษต่อปลา
ตู้ปลาที่มีการหมักหมมมาก
ถ้าเครื่องแอร์ปั๊มเกิดขัดข้องปลามักจะลอยหัวและตายในเวลาอันรวดเร็ว
ผู้เลี้ยงปลาจะต้องหมั่นขจัดสิ่งหมักหมมและไม่ให้อาหารมากจนเกินไป
นอกจากนั้นยังควรสำรองแอร์ปั๊มที่ใช้แบตเตอรี่ไว้ด้วย
3.2.4
สารประกอบไนโตรเจน
มีความสำคัญต่อการดำรงชีพของปลา
โดยจะขึ้นกับชนิดของสารประกอบ
ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบ
แต่ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีพของปลามาก
ได้แก่
แอมโมเนีย (NH3)
ไนไตรท์ (NO2-)
และไนเตรท (NO3-)
ซึ่งสารประกอบทั้ง
3
ชนิดจะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปมา
เนื่องจากขบวนการต่างๆ
ในธรรมชาติแอมโมเนียจะเกิดจากการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุและการขับถ่ายของเสียจากตัวปลา
ซึ่งจะพบได้
2 รูปแบบ
ดังสมการ
NH3 +
H2O
NH4+
+
OH-
NH4+
ที่เกิดมีการแตกตัวได้ง่ายและไม่เป็นพิษ
มักพบในรูปของเกลือแอมโมเนียมคลอไรด์
หรือเกลือแอมโมเนียมซัลเฟต
ซึ่งมีประโยชน์ต่อแพลงตอนพืชและพรรณไม้น้ำ
ส่วน NH3
ที่เกิดจะไม่แตกตัวและเป็นพิษต่อสัตว์น้ำ
โดยจะแพร่เข้าผนังเซลล์ได้ง่าย
การใช้อาหารปลาที่มีโปรตีนสูงและให้อาหารปลามากเกินไป
เศษอาหารจะทำให้มีการสะสมแอมโมเนียมากขึ้น
จนอาจถึงระดับที่มีความเป็นพิษต่อปลาได้อย่างรวดเร็ว
ปลาจะชะงักการเจริญเติบโต
และเหงือกอาจถูกทำลายได้ง่าย
สำหรับไนไตรท์และไนเตรทจะเกิดจากขบวนการย่อยสลายแอมโมเนียของพวกแบคทีเรีย
โดยในสภาพปกติหรือน้ำค่อนข้างเป็นด่างก็จะทำให้เกิดไนเตรท
ซึ่งมีประโยชน์ต่อแพลงตอนพืชและพรรณไม้น้ำอย่างยิ่ง
เพราะนำไปใช้ได้ง่าย
แต่ถ้าสภาพน้ำเป็นกรดก็จะทำให้เกิดไนไตรท์มาก
ซึ่งมีความเป็นพิษต่อปลา
ในธรรมชาติสารประกอบไนโตรเจนมักพบในรูปของไนเตรท
เพราะขบวนการย่อยสลายแอมโมเนียเกิดได้ง่าย
จากนั้นแพลงตอนพืชและพรรณไม้น้ำจะนำเอาไนเตรทที่เกิดขึ้นไปใช้
จึงทำให้เกิดสมดุลย์ของระบบนิเวศน์
แต่สำหรับการเลี้ยงปลาสวยงาม
การสะสมของเศษอาหารและของเสียต่างๆมีมากอยู่ในระบบกรองน้ำ
ทำให้เกิดการสะสมของสารประกอบไนโตรเจนได้เสมอ
แต่ไม่มีพืชน้ำหรือแพลงตอนพืชที่จะคอยนำสารประกอบเหล่านี้ไปใช้
ผู้เลี้ยงปลาเองก็มักไม่ทราบว่ามีสารประกอบไนโตรเจนสะสมอยู่ในตู้เลี้ยงปลา
เพราะมองเห็นน้ำใสและปลาส่วนใหญ่ก็ดูเป็นปกติดี
แต่เมื่อปล่อยไปนานๆเข้าปลาจะมีสีสันซีดจางลง
ไม่กระตือรือร้นหรือสดชื่นเหมือนเดิม
และมักเกิดโรคตายไปในที่สุด
วิธีการป้องกันและแก้ไขการสะสมของสารประกอบไนโตรเจนที่ดีที่สุด
คือ การเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่ให้แก่ปลาบ่อยๆและกระทำอย่างสม่ำเสมอ
3.2.5
ความเค็มของน้ำ
หมายถึงปริมาณของของแข็งหรือเกลือแร่ต่างๆที่ละลายอยู่ในน้ำ
โดยเฉพาะเกลือแกง
ความเค็มมีผลต่อการดำรงชีวิตของปลา
ปลาส่วนใหญ่จึงมีความเจาะจงอยู่ในน้ำจืดหรือน้ำเค็มอย่างเด่นชัด
แต่ก็มีปลาหลายชนิดที่สามารถปรับตัวได้ดีสามารถอยู่ได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม
เช่น ปลากะพงขาว
ปลาตะกรับ(ปลาเสือดาว)
และปลาเฉี่ยว
(ปลาเทวดาบอร์เนียว)
ปลาส่วนใหญ่จะสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงความเค็มได้ประมาณ
5
ส่วนในพันส่วน(ppt)
การเลี้ยงปลาสวยงามโดยทั่วไปจะไม่พบปัญหาด้านความเค็ม
แต่มักใช้ประโยชน์จากความเค็มในการควบคุมดูแลสุขภาพปลา
โดยมักนิยมเติมเกลือแกง
1
ช้อนโต๊ะต่อน้ำ
100
ลิตรเป็นประจำทุกเดือนๆละ
1 ครั้ง
จะช่วยให้ปลาได้รับเกลือแร่ซึมเข้าร่างกาย
ช่วยให้ปลามีการขับเมือก
จะทำให้ปลาสดชื่นขึ้น
หรืออาจใช้เกลือแกงอัตรา
3 - 5 ppt
ช่วยในการป้องกันและรักษาโรคปลา
ตัวอย่างการคำนวณ
ตู้เลี้ยงปลามีขนาดกว้าง
40 เซนติเมตร
ความยาว
90 เซนติเมตร
ใส่น้ำได้ระดับสูง
40 เซนติเมตร
ต้องการป้องกันโรคปลาโดยการใส่เกลือแกงอัตรา
3 ppt จะต้องใส่เกลือแกงจำนวนเท่าใด
วิธีทำ
คำนวณหาปริมาตรน้ำในตู้
จากสูตร
ปริมาตร
= กว้าง
X ยาว
X สูง
ปริมาตรน้ำในตู้ปลา
= 40
X 90
X 40
= 144,000
ลูกบาศก์เซนติเมตร
ทำให้เป็นลิตร
1 ลิตร
= 1,000
ลูกบาศก์เซนติเมตร
ปริมาตรน้ำในตู้ปลา
= 144,000
/ 1,000
ลิตร
=
144
ลิตร
ต้องการป้องกันโรคปลาโดยการใส่เกลือแกงอัตรา
3 ppt
3
ppt
หมายถึง
ปริมาตรน้ำ
1 ลิตร
ต้องใส่เกลือ
3
กรัม
ปริมาตรน้ำในตู้ปลา
144 ลิตร
จะใส่เกลือ
= 3 X
144
กรัม
=
432
กรัม
นั่นคือจะต้องใส่เกลือแกงน้ำหนัก
432 กรัม
(~ 4
ขีดครึ่ง
หรือเกือบครึ่งกิโลกรัม)
.
3.2.6 สารพิษ
ปัจจุบันแหล่งน้ำธรรมชาติมักจะมีการปนเปื้อนของสารเคมีชนิดต่างๆ
ซึ่งมักมีอันตรายต่อสัตว์น้ำ
สารพิษดังกล่าวมาจากโรงงานอุตสาหกรรม
การเกษตรกรรม
และของเสียจากครัวเรือน
ยิ่งมีการพัฒนาหรือมีการขยายตัวของชุมชนมากขึ้นเพียงใด
ก็ยิ่งมีสารพิษตกค้างลงแหล่งน้ำธรรมชาติมากขึ้น
สารพิษเหล่านี้จะมีผลทำให้การเจริญเติบโตของปลาลดลง
ปลาขนาดเล็กและไข่ปลามักจะตาย
นอกจากนั้นยังทำให้อาหารธรรมชาติที่จำเป็นของปลาลดลง
การเลี้ยงปลาสวยงามด้วยน้ำประปาจะไม่ประสบปัญหาทางด้านสารพิษ
แต่สำหรับผู้ที่จะดำเนินกิจการฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาสวยงาม
ซึ่งมีความจำเป็นต้องอาศัยน้ำธรรมชาติค่อนข้างมาก
ควรเลือกพื้นที่ให้ห่างไกลจากชุมชนและห่างจากโรงงานอุตสาหกรรม
.
3.3
คุณสมบัติของน้ำทางด้านชีวภาพ
3.3.1
พรรณไม้น้ำ
เป็นสิ่งมีชีวิตที่สำคัญที่มักมีการนำมาเลี้ยงร่วมกับปลาสวยงาม
เพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ตู้ปลา
และยังมีความสำคัญในการช่วยรักษาสมดุลย์ของคุณภาพน้ำ
โดยจะนำเอาสารอาหารหรือสารประกอบที่เกิดจากการขับถ่ายของปลา
และการย่อยสลายของเศษอาหาร
เช่น
คาร์บอนไดออกไซด์
ไบคาร์บอเนต
ไนเตรท
และแอมโมเนีย
ไปใช้
ดังนั้นหากมีการปลูกพรรณไม้น้ำในตู้ปลาก็จะช่วยลดการเปลี่ยนถ่ายน้ำได้
แต่ก็ไม่สามารถปลูกพรรณไม้น้ำร่วมกับปลาสวยงามได้ทุกชนิด
เพราะปลาบางชนิดอาจทำลายพรรณไม้น้ำที่ปลูกได้
เช่น
ปลาทอง
ปลาคาร์พ
ซึ่งมักหากินตลอดเวลาก็จะกัดแทะกินพรรณไม้น้ำไปเรื่อยๆจนทำให้พรรณไม้น้ำที่ปลูกตายไป
สำหรับประโยชน์ของพรรณไม้น้ำในด้านอื่นๆคือ
ปลาบางชนิดจะใช้พรรณไม้น้ำเป็นวัสดุในการวางไข่
เช่นปลาเสือสุมาตรา
ปลาเซเป้
ปลานีออน
และปลาแขยงหิน
ตัวอ่อนของปลาที่ออกลูกเป็นตัวจะอาศัยพรรณไม้น้ำเป็นที่หลบซ่อนทำให้รอดพ้นจากการถูกจับกินได้
พรรณไม้น้ำที่มีความสวยงามและนิยมใช้ตกแต่งในตู้ปลาสวยงามได้แก่
สาหร่ายฉัตร
สาหร่ายหางกระรอก
อะเมซอนใบยาว
อะเมซอนใบกลม
3.3.2
แพลงตอน
เป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆในน้ำ
ในธรรมชาติจะมีแพลงตอนเกิดอยู่อย่างสม่ำเสมอ
โดยมีการเปลี่ยนแปลงชนิดและปริมาณไปตามคุณภาพน้ำ
และฤดูกาล
จัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ช่วยรักษาสมดุลย์ของระบบนิเวศน์ในแหล่งน้ำ
มีความสำคัญคือเป็นอาหารของลูกปลาทุกชนิด
ปกติแพลงตอนจะแยกออกได้เป็น
2 ประเภท
คือ
·
แพลงตอนพืช
จะใช้ธาตุอาหารต่างๆที่ละลายอยู่ในน้ำไปใช้ในการสังเคราะห์แสง
เช่นเดียวกับพวกพรรณไม้น้ำ
แพลงตอนพืชจะเป็นอาหารของลูกปลาบางชนิดและแพลงตอนสัตว์
จึงถือว่าแพลงตอนพืชเป็นผู้ผลิตชั้นต้นของห่วงโซ่อาหาร
·
แพลงตอนสัตว์
จะเติบโตโดยกินจุลินทรีย์และแพลงตอนพืช
แพลงตอนสัตว์เป็นอาหารที่สำคัญของลูกปลาทุกชนิด
รวมทั้งปลาเต็มวัยบางชนิดที่มีขนาดเล็กก็จะชอบกินแพลงตอนสัตว์
เช่น ปลากัด
ปลาซิว
ปลานีออน
ปลาเทวดา
ปลาสอด
และปลาหางนกยูง
ในการเลี้ยงปลาสวยงามในตู้กระจกมักจะไม่มีแพลงตอนชนิดใดๆเกิดได้
แต่ถ้าหากวางตู้ให้ได้รับแสงแดดมากๆจะทำให้เกิดแพลงตอนพืชได้
จะมีผลทำให้น้ำในตู้ปลาเป็นสีเขียว
การเลี้ยงปลาสวยงามโดยทั่วไปจึงนิยมวางตู้ปลาในห้องและตั้งไม่ให้ถูกแสงแดด
แต่ถ้าหากมีความจำเป็นต้องตั้งตู้ปลาในที่รับแสง
อาจป้องกันการเกิดแพลงตอนพืชและตะไคร่น้ำโดยใช้สารเคมี
“จุนสี” (คอปเปอร์ซัลเฟต)
อัตรา
0.3 - 0.5 มิลลิกรัมต่อน้ำ
1 ลิตร
สำหรับแพลงตอนสัตว์ไม่พบว่าเกิดในตู้ปลา
เพราะหากเกิดขึ้นก็จะถูกปลากินหรือถูกดูดเข้าไปติดในระบบกรองน้ำ
แต่ผู้เลี้ยงปลามักจะต้องหามาเลี้ยงปลาสวยงามที่ยังจำเป็นต้องกินอาหารมีชีวิต
3.3.3
สัตว์หน้าดิน
เป็นสิ่งมีชีวิตที่มักอาศัยอยู่ตามพื้นก้นแหล่งน้ำหรือก้นบ่อ
ได้แก่
พวกแมลงน้ำ
ตัวอ่อนของแมลง
และพวกหอยต่างๆ
ในธรรมชาติพวกแมลงน้ำและตัวอ่อนของแมลงจะเป็นทั้งศัตรูและอาหารของปลา
ซึ่งจะแล้วแต่ชนิดของแมลงกับตัวอ่อนของแมลง
รวมทั้งชนิดและวัยของปลาสวยงาม
เช่น แมลงด้วงดิ่ง
มวนวน
และมวนกรรเชียงจะเป็นศัตรูที่คอยจับลูกปลากินเป็นอาหาร
แต่ปลาหมอ
ปลาปอมปาดัวร์
ปลาเทวดา
และปลาเสือพ่นน้ำ
ที่โตแล้วจะชอบไล่กินมวนวนและมวนกรรเชียง
สำหรับตัวอย่างของตัวอ่อนของแมลง
เช่น ตัวอ่อนของแมลงปอ
จะเป็นศัตรูที่สำคัญของลูกปลา
ส่านหนอนแดงซึ่งเป็นตัวอ่อนของแมลงริ้นน้ำจืด
จะเป็นอาหารที่ดีของปลาเกือบทุกชนิด
การเลี้ยงปลาสวยงามในตู้กระจกจะไม่พบสัตว์หน้าดิน
เพราะแมลงไม่สามารถเข้าไปได้
ผู้เลี้ยงปลายังจำเป็นต้องหาซื้อมาเลี้ยงปลาสวยงามบางชนิด
โดยเฉพาะหนอนแดง
จะมีความจำเป็นสำหรับเลี้ยงปลาปอมปาดัวร์
ปลาเทวดา
และปลากัด
แต่ผู้เพาะเลี้ยงปลาสวยงามที่ใช้น้ำธรรมชาติ
และใช้บ่อขนาดใหญ่
จะต้องหมั่นตรวจสอบดูแมลงน้ำและตัวอ่อนของแมลง
ที่อาจบินเข้ามา
หรือเข้ามากับระบบน้ำ
หรือเข้ามากับอาหารธรรมชาติที่ช้อนมาเลี้ยงปลาก็ได้
3.3.4
โรคและพยาธิต่างๆ
เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นตัวรบกวนปลาและมีโอกาสเกิดขึ้นกับการเลี้ยงปลาสวยงามได้เสมอ
จัดเป็นปัญหาที่สำคัญของการเลี้ยงปลาสวยงาม
และที่สำคัญคือเป็นพวกที่มีความสามารถในการแพร่พันธุ์ขยายจำนวนได้รวดเร็ว
ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่และศึกษาให้รอบคอบ
เพื่อป้องกันโรคและพยาธิมิให้เกิดกับปลาสวยงามที่เลี้ยงได้
ขอบคุณมากค่ะ ให้ข้อมูลละเอียดเป็นประโยชน์มากเลยค่ะ
ตอบลบLucky Club - Home of Slot Machines
ตอบลบWelcome to Lucky Club, home of the best luckyclub.live Las Vegas slots, free online slots games, and the best casinos in town. Lucky Club is a popular casino